วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2555

ขอแนะนำ blog


ขอแนะนำบล็อกที่รวบรวมผลงานหนังสือนิทานอีบุ๊ค (e-book) ค่ะ ซึ่งในบล็อกประกิบไปด้วย ผลงานทั้งหมดจัดทำขึ้นโดยนักศึกษาที่เรียนในรายวิชา นวัตกรรมและเทคโนโลยีสานสนเทศเพื่อการศึกษา สอนโดย อาจารย์อัจฉริยะ วะทา โดยบล็อกนี้มีชื่อว่า atinno.blogspot.com
มีหนังสือนิทานอีบุ๊คที่เป็นฝีมือของนักศึกษาในหลายๆ สาขา มีแต่นิทานที่น่าสนใจหลายเรื่องน่าอ่านและสามารถโหลดเก็บไว้หรือสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ด้วย

นอกจากนี้ก็ยังรวมผลงานการจัดทำบล็อกของนักศึกษาแต่ละสาขาวิชา จัดทำเพื่อเผยแพร่เรื่องราวเกี่ยวกับความรู้ที่น่าสนใจไว้มากมาย เป็นเว็บที่อยากจะแนะนำ เหมาะสำหรับผู้ที่อยากจะทำหนังสือแบบทำมือและทำเป็นอีบุ๊ค (e-book) ด้วย ใครที่สนใจเชิญแวะชมที่atinno.blogspot.com นะคะ

หวังว่าเพื่อนๆจะได้รับสาระความรู้และความบันเทิงจากการเยี่ยมชมบล็อกนะคะ

วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2555

พยัญชนะไทยมีทั้งหมด 44 รูป


พยัญชนะไทยมีทั้งหมด 44 รูป

พยัญชนะไทยมีทั้งหมด 44 รูป
พยัญชนะมี 21 เสียง
  1. ข ฃ ค ต ฆ
  2. ฉ ช ฌ
  3. ซ ศ ษ ส
  4. ญ ย
  5. ฎ ด กับเสียง
  6. ฑ บางคำ
  7. ฏ ต
  8. ฐ ถ ฑ ฒ ท ธ
  9. น ณ
  10. ผ พ ภ
  11. ฝ ฟ
  12. ล ฬ
  13. ห ฮ
  14. เสียง อ ไม่นับ
เสียงพยัญชนะ
พยัญชนะเสียงสูง  : ข ฃ ฉ ฐ ถ ผ ฝ ศ ษ ส ห
พยัญชนะเสียงกลาง  : ก จ ฎ ฏ ด ต บ ป อ
พยัญชนะเสียงต่ำ  : ค ฅ ฆ ง ช ซ ฌ ญ ฑ ฒ ณ ท ธ น พ ฟ ภ ม ย ร ล ว ฬ ฮ

ไตรยางศ์

        คำว่า ไตรยางศ์ มาจากคำในภาษาสันสกฤตว่า ตฺรยฺ ซึ่งแปลว่า สาม รวมกับ อํศ ซึ่งแปลว่า ส่วน ดังนั้น ไตรยางศ์ จึงแปลรวมกันได้ว่าว่า สามส่วน การจัดหมวดหมู่ไตรยางศ์
ไตรยางศ์มีการจัดหมวดหมู่เพื่อแบ่งพยัญชนะไทยออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้

พยัญชนะเสียงสูง

        มี 11 ตัว เเละผันได้ เสียงที่ ๕, ๒ เเละ ๓
อักษรสูง หมายถึง พยัญชนะที่ยังไม่ได้ผันวรรณยุกต์ แล้วมีเสียงอยู่ในระดับสูง มีทั้งหมด 11 ตัว วิธีท่องจำง่าย ๆ ผ ฝ ถ ฐ ข ฃ ศ ษ ส ห ฉ ผี ฝาก ถุง ขาว สาร ให้ ฉัน

 พยัญชนะเสียงกลาง

        มี 24 ตัว เเละผันได้ทั้งหมดห้าเสียง
อักษรกลาง หมายถึง พยัญชนะที่ยังไม่ได้ผันวรรณยุกต์ แล้วมีเสียงอยู่ในระดับกลาง มีทั้งหมด 9 ตัว วิธีท่องจำง่าย ๆ ก จ ด ต ฎ ฏ บ ป อ ไก่ จิก เด็ก ตาย เด็ก ตาย บน ปาก โอ่ง การผันวรรณยุกต์กับอักษรกลาง ผันได้ครบ 5 เสียง ใช้วรรณยุกต์ได้ 4 รูป

พยัญชนะเสียงต่ำ

        มี 9 ตัว เเละผันได้ เสียงที่ ๑, ๓ เเละ ๔ อักษรต่ำ หมายถึง พยัญชนะที่ยังไม่ได้ผันวรรณยุกต์ แล้วมีเสียงอยู่ในระดับต่ำ มีทั้งหมด 24 ตัว
  • ต่ำคู่ มีเสียงคู่อักษรสูง 14 ตัว
พ ภ ฟ ฑ ฒ ท ธ ค ต ฆ ซ ฮ ช ฌ
  • ต่ำเดี่ยว(ไร้คู่) 10 ตัว วิธีท่องจำง่าย ๆ
ง ญ น ย ณ ร ว ม ฬ ล งู ใหญ่ นอน อยู่ ณ ริม วัด โม ฬี โลก

สระในภาษาไทย


สระในภาษาไทย

เมื่อตอนเด็กๆ เคยท่องจำกันไหมครับว่า “สระมี ๒๑ รูป ๓๒ เสียง” ท่องกันแบบงูๆ ปลาๆ
ผมรู้ว่า ๓๒ เสียงมีอะไรบ้าง เพราะว่าต้องท่องสระ แต่ว่า ๒๑ รูปมารู้ตอน ม.๑ แล้ว ว่าแต่ละรูปมีชื่อเรียกอย่างไร ผสมกันแล้วได้อะไร
ต่อมาได้อ่านเจอกว่า สระในภาษาไทยมี ๒๑ รูป ๒๑ เสียง…
อ้าว…เกิดอะไรขึ้น จึงได้ค้นคว้าหาคำตอบมาฝากกันนะครับ

สระในภาษาไทยมี ๒๑ รูป

รูปสระ
ชื่อ
รูปสระ
ชื่อ
๑. ะวิสรรชนีย์๑๒. ใไม้ม้วน
๒. อัไม้หันอากาศ๑๓. ไไม้มลาย
๓. อ็ไม้ไต่คู้๑๔. โไม้โอ
๔. าลากข้าง๑๕. อตัว ออ
๕. อิพินทุ์อิ๑๖. ยตัว ยอ
๖. ่ฝนทอง๑๗. วตัว วอ
๗. อํนิคหิตหรือหยาดน้ำค้าง๑๘. ฤตัว รึ
๘. “ฟันหนู๑๙. ฤๅตัว รือ
๙. อุตีนเหยียด๒๐. ฦตัว ลึ
๑๐. อูตีนคู้๒๑. ฦๅตัวลือ
๑๑. เไม้หน้า  


สระมี ๒๑ เสียง
สระเดี่ยว
สระประสม
สระเกิน
สระที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของลิ้นและริมฝีปากเพียงส่วนเดียว)(สระที่เกิดจากการ เคลื่อนไหวของลิ้นทั้งส่วนหน้า – กลางและหลัง ทำให้รูปริมฝีกปากเปลี่ยนไป)(สระที่มีเสียงพยัญชนะประสมอยู่)
๑. อะ๑๙. อัว๒๕. อำ
๒. อา๒๐. เอีย๒๖. ใอ
๓. อิ๒๑. เอือ๒๗. ไอ
๔. อี๒๘. เอา
๕. อึ๒๒. อัวะ๒๙. ฤ
๖. อือ(เมื่อใช้สระอือ ต้องมี อ ตามหลัง)๒๓. เอียะ๓๐. ฤๅ
๗. อุ๒๔. เอือะ๓๑. ฦ
๘. อู สระ เสียงสั้นของสระประสมทั้งสาม นักภาษาศาสตร์จัดให้เป็นเสียงย่อยของหน่วยเสียงสระประสมที่เป็นเสียงยาวสั้น เป็นคู่ๆ เนื่องจากไม่ว่าจะออกเสียงคำที่มีสระประสมแต่ละคู่เป็นเสียงสั้นหรือเสียง ยาวก็ไม่ทำให้ความหมายแตกต่างกัน๓๒. ฦา
๙. เอะ 
๑๐. เอ 
๑๑. แอะ 
๑๒. แอ 
๑๓. โอะ 
๑๔. โอ 
๑๕. เอาะ 
๑๖. ออ 
๑๗. เออะ 
๑๘. เออ 

สุภาษิตสอนหญิง


สุภาษิตสอนหญิง

สุภาษิตสอนหญิง
  • เป็นมนุษย์สุดนิยมที่ลมปาก จะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหา แม้นพูดดีมีคนเขาเมตตาจะพูดจาพิเคราะห์ให้เหมาะความ
๏ประนมหัตถ์นมัสการขึ้นเหนือเศียร ต่างประทีปโกสุมปทุมเทียน อันเป็นมิ่งโมลีสี่ทวีป ก็ล่วงลับดับไกลนัยนา ฉันชื่อภู่ผู้ประดิษฐ์คิดสนอง ให้ประเสริฐเลิศล้ำด้วยคำคม
๏ ขอเจริญเรื่องตำรับฉบับสอน อันความชั่วอย่าให้มัวมีระคาย ผู้ใดเกิดเป็นสตรีอันมีศักดิ์ สงวนงามตามระบอบให้ชอบกล เป็นสาวแซ่แร่รวยสวยสะอาด แม้นแตกร้าวรานร่อยถอยราคา อันตัวต่ำแล้วอย่าทำให้กายสูง ค่อยเสงี่ยมเจียมใจจะไว้วาง
๏ จะนุ่งห่มดูพอสมศักดิ์สงวน จะผัดหน้าทาแป้งแต่งอินทรีย์ จะเก็บไรไว้ผมให้สมพักตร์ เป็นสุภาพราบเรียบแลเจริญ ใครเห็นน้องต้องนิยมชมไม่ขาด ถึงรูปงามทรามสงวนนวลอนงค์
๏ ประการหนึ่งซึ่งจะเดินดำเนินนาด อย่าไกวแขนสุดแขนเขาห้ามปราม อย่าเดินกรายย้ายอกยกผ้าห่ม อย่าพูดเพ้อเจ้อไปไม่สู้ดี ให้กำหนดจดจำแต่คำชอบ อย่านุ่งผ้าพกใหญ่ใต้สะดือ อย่าลืมตัวมัวเดินให้เพลินจิต เป็นนารีที่ละอายหลายกระบวน อนึ่งเนตรอย่าสังเกตให้เกินนัก แม้นประสบพบเหล่าเจ้าชู้ชาย อันนัยน์ตาพาตัวให้มัวหมอง จริงมิจริงเขาเอาไปเล่าแช

จำนงเนียรนบบาทพระศาสดา ดังประทีปส่องทั่วทุกทิศา สู่มหาห้องนิพพานสำราญรมย์ ขอประคองคุณใส่ไว้เหนือผม โดยอารมณ์ดำริรักชักภิปราย
ชาวประชาราษฎรสิ้นทั้งหลาย จะสืบสายสุริยวงศ์เป็นมงคล บำรุงรักกายไว้ให้เป็นผล จึงจะพ้นภัยพาลการนินทา ก็หมายมาดเหมือนมณีอันมีค่า จะพลอยพาหอมหายจากกายนาง ดูเยี่ยงยูงแววยังมีที่วงหาง ให้ต้องอย่างกริยาเป็นนารี
ให้สมควรรับพักตร์ตามศักดิ์ศรี ดูฉวีผิวเนื้ออย่าเหลือเกิน บำรุงศักดิ์ตามศรีมิให้เขิน คงมีผู้สรรเสริญอนงค์ทรง ว่าฉลาดแต่งร่างเหมือนอย่างหงส์ ไม่รู้จักแต่งองค์ก็เสียงาม
ค่อยเยื้องยาตรยกย่องไปกลางสนาม เสงี่ยมงามสงวนไว้แต่ในที อย่าเสยผมกลางทางหว่างวิถี เหย้าเรือนมีกลับมาจึงหารือ ผิดระบอบแบบกระบวนอย่าควรถือ เขาจะลือว่าเล่นไม่เห็นควร ระวังปิดปกป้องของสงวน จงสงวนศักดิ์สง่าอย่าให้อาย จงรู้จักอาการประมาณหมาย อย่าชม้ายทำชะม้อยตะบอยแล เหมือนทำนองแนะออกบอกกระแส คนรังแกมันก็ว่านัยน์ตาคม

๏ อันที่จริงหญิงชายย่อมหมายรัก แม้นจักรักรักไว้ในอารมณ์ ดังพฤกษาต้องวายุพัดโบก จงยับยั้งช่างใจเสียให้ดี อันตัวนางเปรียบอย่างปทุเมศ หอมผกาเกสรขจรขจาย ครั้นได้ชมสมจิตพิศวาส ไม่อยู่เฝ้าเคล้ารสเที่ยวจดลอง แม้นชายใดหมายประสงค์มาหลงรัก อันความรักของชายนี้หลายชั้น จงพินิจพิศดูให้รู้แน่ เปรียบเหมือนคิดปริศนาอย่าไว้ใจ อันแม่สื่ออย่าได้ถือเป็นบรรทัด แต่ล้วนดีมีบุญลูกขุนนาง อันร้ายดีมิได้เห็นเป็นแต่ว่า เหมือนเขาหลอกบอกลาภถึงเมืองไกล ทางไกลตาอุปมาเหมือนเสียเนตร เขาจะนำไปตายก็ตายพลัน อันแม่สื่อคือปีศาจที่อาจหาญ อย่าเชื่อนักมักตับก็คับโครง อันความชั่วอยู่ที่ตัวของเราหมด จงฟังหูไว้หูกับผู้คน
๏ คิดถึงตัวหาผัวนี้หายาก คนสูบฝิ่นกินสุราพาจัญไร มักเบียดเบียนบีฑาประดาเสีย ไม่ทำมาหากินจนสิ้นตน ที่บางคนนั้นชั่วเป็นหัวไม้ ท่านจับได้ใส่ตรวจพรวดคอยาว เขาเป็นผัวตัวเมียเสียไม่ได้ ไปเสียลดเสียหลั่นพันธนา เพราะมีผัวชั่วไปจึงได้ยาก บ้างเล่นเบี้ยเสียถั่วมัวทนง มีข้าวของเคยผูกให้ลูกเต้า ลงชั้นว่าผ้าผ่อนท่อนสไบ ยังแต่เมียเกลี่ยไกล่ไปขายซื้อ ครั้นรักผัวก็อย่ามัวด้วยลมโลม จะคิดทำอย่างไรก็ใช่ที่ ถ้าคนผู้รู้สึกสำนึกตัว จะหาคู่สู่สมภิรมย์หวัง ที่ชายดีนั้นก็มีอยู่ถมไป แต่ใจคนมักรนไปหาผิด ต้องเดือดดิ้นกินน้ำตาอยู่นองเนือง

มิใช่จักตัดทางที่สร้างสม อย่ารักชมนอกหน้าเป็นราคี เขยื้อนโยกก็แต่กิ่งไม่ทิ้งที่ เหมือนจามรีรู้จักรักษากาย พึงประเวศผุดพ้นชลสาย มิได้วายภุมรินถวิลปอง ก็นิราศแรมจรัลผันผยอง ดูทำนองใจชายก็คล้ายกัน ให้รู้จักเชิงชายที่หมายมั่น เขาว่ารักรักนั้นประการใด อย่าทำแต่ใจเร็วจะเหลวไหล มันมักไพล่เพลงขุมเป็นหลุมพลาง สารพัดเขาจะพูดนี้สุดอย่าง มาอวดอ้างให้อนงค์หลงอาลัย จะคาดหน้าแน่ลงที่ตรงไหน อย่าควรให้ตามคำเขารำพัน สุดสังเกตเท็จจริงทุกสิ่งสรรพ์ คนทุกวันเชื่อมันยากปากมันโกง ใครบนบานเข้าสักหน่อยก็พลอยโผง มันชักโยงอยากกินแต่สินบน ต้องกำสรดโศกร้างอยู่กลางหน สืบยุบลเสียให้แน่อย่าแร่ไป
มันชั่วมากนะอนงค์อย่าหลงไหล แม้หญิงใดร่วมห้องจะต้องจน เหมือนเลี้ยงเหี้ยอัปรีย์ไม่มีผล แล้วซุกซนตีชิงเที่ยววิ่งราว ให้พอใจชกตีเขาหมี่ฉาว แล้วบอกข่าวโศกศัลย์ถึงภรรยา มีหาไม่เงินทองก็ต้องหา ค่าฤชาก็ต้องเสียขายเมียลง แสนลำบากบอบนักอย่ามักหลง หน่อยก็ลงจำนำเขาร่ำไป ก็เบียนเอาสิ้นสุดหาหยุดไม่ อย่าไปไขว้เล่นไปจนโซโทรม คอยหารือร่วมภิรมย์เมื่อชมโฉม ต่อล้มโครมแล้วก็ครวญหวนถึงตัว ต้องรับหนี้ยากแค้นใช้แทนผัว จะยังชั่วด้วยไม่เฉยซะเลยใจ จงระวังชั่วช้าอัชฌาสัย ใช่วิสัยเขาจะชั่วไปทั่วเมือง ครั้นได้คิดจิตตรอมออกผอมเหลือง สุดจะเปลื้องราคินจนสิ้นคาว

๏ เป็นสตรีสุดดีแต่เพียงผัว ลงจนสองสามจืดไม่ยืดยาว ถ้าคนดีมิได้ช้ำระยำยับ คงมีผู้ชูช่วยประคับประคอง ถ้าแม้นตัวชั่วช้ำระยำแล้ว เหมือนทองแดงแฝงเฝ้าเป็นราคี จงรักตัวอย่าให้มัวราคีหมอง อย่าเอาผิดมาเป็นชอบประกอบใจ แม้นรู้จักรักร่างเป็นอย่างยิ่ง จงกำหนดอุตส่าห์รักษาทรง อันคำคมลมบุรุษนั้นสุดกล้า จงระวังตั้งมั่นในสันดาน เขารักจริงให้สู่ขอกับพ่อแม่ เขาไม่เลี้ยงไล่ขับจะอับอาย ข้างพ่อแม่ก็จะโกรธพิโรธร่ำ ด้วยท่านอายขายหน้าประชาชน ถ้าปะว่าแม่พ่อใจคอร้าย แม้นชายจนคนขัดพลัดเข้าตัว จะขึ้งโกรธโทษผู้ใหญ่ว่าไม่รัก ชั้นพ่อแม่ของตัวไม่กลัวเกรง ท่านเลี้ยงมาจะให้เป็นหอห้อง ครั้นลูกตัวชั่วถ่อยน้อยอารมณ์ แม้นลูกดีก็จะมีศรีสง่า ถึงเพื่อนบ้านฐานถิ่นที่ใกล้ไกล

จะดีชั่วก็ยังกำลังสาว จะกลับหลังอย่างสาวสิเต็มตรอง ถึงขัดสนจนทรัพย์ไม่เศร้าหมอง เปรียบเหมือนทองธรรมดาราคามี จะปัดแผ้วถางฝืนไม่คืนที่ ยากจะมีผู้ประสงค์จำนงใน ถือทำนองแบบโบราณท่านขานไข จงอยู่ในโอวาทญาติวงศ์ จะเพริศพริ้งสมสวาทเป็นราชหงส์ อย่าลุ่มหลงด้วยอุบายของชายพาล เขาย่อมว่ารสลิ้นนี้กินหวาน อย่าลนลานหลงละเลิงด้วยเชิงชาย อย่าวิ่งแร่หลงงามไปตามง่าย ต้องเป็นม่ายอยู่กับบ้านประจานตน จะจองจำตีโบยออกโหยหน ไม่รักตนเราจึงต้องมาหมองมัว กลับซื้อขายคิดเอากับเจ้าผัว เราทำชั่วก็ต้องขายกายเราเอง เพราะเราคิดผิดนักไม่เหมาะเหม็ง ใจตัวเองพาหลงไปลงตม หมายจะกองทุนสินกินขนม จึงตรอมตรมโกรธบุตรนี้สุดใจ ญาติวงศ์พงศาก็ผ่องใส ก็มีใจสรรเสริญเจริญพร

๏ จงรักนวลสงวนนามห้ามใจไว้ คิดถึงหน้าบิดาและมารดร เมื่อสุกงอมหอมหวานจึงควรหล่น อย่าชิงสุกก่อนห่ามไม่งามดี อย่าคิดเลยคู่เชยคงหาได้ อย่าเกียจคร้านงานสตรีจงนิยม ถ้าแม้นทำสิ่งใดให้ตลอด เขม้นขะมักรักงานการของตน เมื่อเหนื่อยอ่อนนอนหลับอยู่กับบ้าน อะไรฉาวกราวเกรียวอย่าเหลียวแล ระวังดูเรือนเหย้าแลข้าวของ เห็นไม่มีแล้วอย่าอ้างว่าช่างมัน มีสลึงพึงประจบให้ครบบาท จงมักน้อยกินน้อยค่อยบรรจง ไม่ควรซื้อก็อย่าไปพิไรซื้อ เมื่อพ่อแม่แก่เฒ่าชรากาล ด้วยชนกชนนีนั้นมีคุณ อุ้มอุทรป้อนข้าวเป็นเท่าไร ถ้าเราดีมีจิตคิดอุปถัมถ์ จะปรากฎยศยิ่งสิ่งทั้งปวง เทพไทในห้องสิบหกชั้น ว่าสตรีนี้เป็นยอดยุพาพาล
๏ ที่บางนางนั้นก็ทำทุจริต เห็นพ่อแม่ยากไร้ไม่ใยดี เขาถามไถ่ว่ามิใช่เป็นพ่อแม่ ให้ตามหลังบังคับด้วยคำคม คนผู้นั้นครั้นตายวายชีวาตม์ ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันพระจันทรา ถ้าอยู่ไปในมนุษย์โลกเล่า ให้ยากยับอัปราอนาทร แม้จะมีเงินทองของทั้งหลาย จะเกิดโจรราวีอัคคีภัย หญิงเช่นนี้ชายอย่าได้ไปร่วมรัก แต่พ่อแม่เจียวยังใจไม่การุญ ซึ่งสตรีที่ดีอย่าดูเยี่ยง แม้นร่วมรอยก็จะพลอยระยำมัง

อย่าหลงใหลจำคำที่ร่ำสอน อย่ารีบร้อนเร็วนักมักไม่ดี อยู่กับต้นอย่าให้พรากไปจากที่ เมื่อบุญมีคงจะมาอย่างปรารมภ์ อุตส่าห์ทำลำไพ่เก็บประสม จะอุดมสินทรัพย์ไม่อับจน อย่าทิ้งทอดเที่ยวไปไม่ได้ผล อย่าซุกซนคบเพื่อนไพล่เชือนแช อย่าเที่ยวพล่านพูดผลอประจ๋อประแจ๋ ฟังให้แน่เนื้อความค่อยถามกัน จะบกพร่องอะไรที่ไหนนั่น จงผ่อนผันเก็บเล็มให้เต็มลง อย่าให้ขาดสิ่งของต้องประสงค์ อย่าจ่ายลงให้มากจะยากนาน ให้เป็นมื้อเป็นคราวทั้งคาวหวาน จงเลี้ยงท่านอย่าให้อดระทดใจ ได้การุณเลี้ยงรักษามาจนใหญ่ หมายจะได้พึ่งพาธิดาดวง กุศลล้ำเลิศเท่าภูเขาหลวง กว่าจะล่วงลุถึงซึ่งพิมาน จะชวนกันสรรเสริญเจริญสาร ได้เลี้ยงท่านชนกชนนี
มิได้คิดคุณท่านเท่าเกศี ดูเป็นที่อายเพื่อนเบือนอารมณ์ ท่านพูดแก้เกลื่อนกลับจะทับถม ไม่ชื่นชมยกชูขึ้นบูชา คงไม่คลาดแคล้วนรกตกถลา ทรมาน์หมกไหม้ในไฟฟอน เทพเจ้าท่านก็แช่งแสร้งสังหรณ์ ยิ่งกว่าทำมารดรให้ร้อนใจ คงฉิบหายมั่นคงอย่าสงสัย เพราะว่าใจหยาบช้าคิดทารุณ จะเสื่อมศักดิ์เสียเช่นเป็นสถุล เนรคุณมิได้คิดอนิจจัง จงหลีกเลี่ยงเสียให้พ้นคนขี้ถัง ดุจดังเอาทองแดงเข้าแฝงกุม

๏ จะสอนใจไว้ทุกสิ่งเป็นหญิงสาว ให้ผันผ่อนเหมือนหนึ่งนอนในห่วงรุม อย่าทำนอกลักษณะจะเป็นโทษ ถึงจะรักรักให้ยืดอย่าจืดจาง จะพูดจาปราศรัยกับใครนั้น ไม่ควรพูดอื้ออึงขึ้นมึงกู แม้จะเรียนวิชาทางค้าขาย จึงซื้อง่ายขายดีมีกำไร เป็นมนุษย์สุดนิยมเพียงลมปาก แม้นพูดดีมีคนเขาเมตตา ถึงชายใดเขาพอใจมาพูดเกี้ยว เมื่อไม่ชอบก็อย่าตอบเนื้อความตาม ถึงจะไปในพิภพให้จบทั่ว จงอุตส่าห์ปกปิดให้มิดเม้น เมื่อจะจรนอนเดินดำเนินนั่ง อย่าเหม่อเมินเดินให้ดีมีอาฌา เห็นผู้ใหญ่หรือใครเขานั่งแน่น ค่อยวอนว่าข้าขอจรดล แม้นสมรจะไปนอนที่เรือนไหน ใครเห็นเข้าเขาจะเล่านินทานาง ถ้าจะนั่งก็นั่งระวังผ้า ยามสำรวลก็อย่าสรวลให้เมามัว เมื่อยามยิ้มก็ยิ้มไว้แต่ในพักตร์ อย่าเท้าแขนเท้าคางให้ห่างกาย จะแต่งตัวก็อย่ามัวแต่การแต่ง ใช่บ้านนอกขอกนามาแต่เยิง

ให้พ้นคาวข่าวชั่วมามั่วสุม จงสุขุมคิดแบ่งให้เบาบาง ตัดประโยชน์พี่น้องเขาหมองหมาง จะไว้วางกริยาให้น่าดู อย่าตะคั้นตะคอกให้เคืองหู คนจะหลู่ล่วงลามไม่ขามใจ อย่าปากร้ายพูดจาอัชฌาสัย ด้วยเขาไม่เคืองจิตระอิดระอา จะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหา จะพูดจาจงพิเคราะห์ให้เหมาะความ อย่าโกรธเกรี้ยวโกรธาว่าหยาบหยาม มันจะลามเล่นเลยเหมือนเคยเป็น แต่ความชั่วอย่าให้ผู้ใดเห็น จึงจะเป็นคนดีมีปัญญา จงระวังในจิตขนิษฐา แม้นพลั้งพลาดบาทาจะอายคน อย่าไกวแขนปัดเช่นไม่เห็นหน นั่นแหละคนจึงจะมีปรานีนาง อย่าหลับไหลลืมกายจนสายสาง ความกระจ่างออกกระจายเพราะกายตัว ไม่อาฌาเขาจะพากันยิ้มหัว แม้นจะหัวหัวร่อพอสบาย อย่ายิ้มนักเสียสง่าพาสลาย อย่ากรีดกรายกรอมเพลาะเที่ยวเราะเริง อย่าทาแป้งจับกระเหม่าเข้าจนเหลิง ทำเซาะเซิงเขาจะโห่วิ่งโร่ไป

๏ เมื่อยามตรุษยามสงกรานต์มีงานหลวง ครั้นสิ้นเขตเทศกาลทำงานไป เมื่อไปเป็นชาววังจึงนั่งแต่ง ด้วยสำราญการอะไรนั้นไม่มี อยู่สถานบ้านช่องนั้นต้องคิด เผื่อมีผัวพลเรือนเหมือนกันนา รู้วิชาก็ให้รู้เป็นครูเขา มีข้าไทใช้สอยค่อยสบาย การวิชาหาประดับสำหรับร่าง การมิดีมีชั่วมันกลัวเกรง คิดแต่ยากแต่จนเร่งขวนขวาย พออิ่มเช้าอิ่มเย็นไม่เป็นไร ค่อยเสงี่ยมเจียมตนจนเสียก่อน อย่าเป้อเย้อพกใหญ่ออกให้เกิน อย่าอวดดีมีทรัพย์เที่ยวจับแจก ใครจะช่วยตัวเราก็เปล่าดาย เห็นผู้ดีมีทรัพย์ประดับแต่ง ของตัวน้อยก็จะถอยไปทุกวัน จงนุ่งเจียมห่มเจียมเสงี่ยมหงิม อย่านุ่งลายกรายกรุยทำฉุยไป

แต่งให้งามตามกระทรวงหาว่าไม่ อย่าร่ำไรผัดหน้าทั้งตาปี แต่พอแจ้งเข้าก็จับกระจกหวี จะหาคู่ดูแต่ที่เจ้าพระยา ให้รู้กิจการหญิงทุกสิ่งสา จะได้หาเลี้ยงกันจนวันตาย จึงจะเบาแรงตนเร่งขวนขวาย ตัวเป็นนายโง่เง่าบ่าวไม่เกรง อย่าเอาอย่างหญิงโกงมันโฉงเฉง อย่าครื้นเครงขับร้องคะนองใจ อย่าให้กายตกยากลำบากได้ อย่าพอใจเชื่อช้ำเขาก้ำเกิน ค่อยผันผ่อนทีหลังเขาสรรเสริญ ละเมิดเมินหมิ่นนักมักจะอาย ทำเกี่ยวแฝกมุงป่าพาฉิบหาย อย่ามักง่ายเงินทองของสำคัญ อย่าทำแข่งวาสนากระยาหงัน เหมือนตัดบั่นต้นทุนสูญกำไร อย่ากระหยิ่มยศถาอัชฌาสัย ตัวมิใช่ชาววังไม่บังควร

๏ อย่าคบพวกหญิงพาลสันดานชั่ว สุริย์ฉายบ่ายคล้อยเที่ยวลอยนวล พอรุ่งเช้าเฝ้าแต่มองส่องเกศี ตรงการงานขี้คร้านเป็นกังวล ครั้นได้ยินเสียงกลองมาก้องหู วันนี้มีละครใครที่ไหนมา นั่งพินิจพิศโฉมประโลมหลง บ้างก็เห็นว่างามเลยตามไป บ้างก็รักข้างนักเลงเล่นเครงครื้น ห่มเพลาะดำทำปลอมออกกรอมกาย ครั้นไปไปใจแตกลงแหกคอก ควาญหมอรอไม่ติดเห็นผิดเชิง ใครจะห้ามปรามไว้ก็ไม่ฟัง ถือว่าตนเปรื่องฉลาดปราชญ์ประเปรียว พูดก็มากปากก็บอนแสนงอนนัก เที่ยวรอนราญจนเพื่อนบ้านเขาระอา ที่ส่วนตัวถึงจะชั่วออกล้นพ้น ไม่ทำมาหากินจนสิ้นแกน หญิงเช่นนี้เห็นไม่มีเจริญแล้ว ลงสูบฝิ่นกินเหล้าอยู่เมามาย มือก็ไวใจก็กล้าหน้าก็ด้าน แต่ผ้าขาดก็ไม่ปรารถนาเย็บ อันการเหย้าไม่เอาเป็นธุระ คบกันได้แต่นิสัยพวกแชเชือน ชั้นจะยืมของใครเขาไม่เชื่อ ปากก็หวานเหมือนน้ำตาลเพชรบุรี แม้นใครไปสมทบเข้าคบค้า มีแต่ภัยให้ระยำทุกค่ำคืน หญิงไม่ดีนั้นก็มีอยู่หลายพวก ที่คนดีจะได้ดูให้รู้ครบ

ที่แต่งตัวไว้จริตผิดกระสวน เป็นเชิงชวนพวกเจ้าชู้เขารู้กล ให้เวียนหวีได้วันละพันหน แต่งแต่ตนมิได้เว้นสักเวลา ยังไม่รู้เนื้อความเที่ยวถามหา แม้นรู้ว่าเจ้ากรับเต้นหรับไป ดูจนปลงกรรมฐานเหงื่อกาฬไหล ช่างกระไรหนอขนิษฐ์ไม่คิดอาย เที่ยวกลางคืนคบเพื่อนเดือนหงายหงาย พวกผู้ชายชักพาเที่ยวร่าเริง ปะแตกปลอกต้ำผางวางจนเหลิง จะเปิดเปิงเข้าป่าไปท่าเดียว ทำส่งเสียงเถียงดังให้กราดเกรี้ยว ประจบเที่ยวรู้จักทุกพักตรา เห็นเขารักกันไม่ได้ใจอิจฉา นั่งที่ไหนให้นินทาเขาเป็นแดน สู้ปิดปากยกตนนี่สุดแสน ก็เลยแล่นเข้าบ่อนนอนสบาย ให้แว่วแว่วอยู่ข้างทางฉิบหาย ไม่เสียดายอินทรีย์เท่าขี้เล็บ จะเอาขวานไปถากไม่อยากเจ็บ ขี้เกียจเก็บพลัดวางได้กลางเรือน คิดแต่จะเที่ยวตลบไปคบเพื่อน จะคบคนพลเรือนก็เต็มที ด้วยตัวเหลือโป้ปดสบถถี่ ข้าวของมีให้ไปไม่ได้คืน จนชั้นผ้าไม่ติดตัวแต่สักผืน ใครจะชื่นชมชิดไปคิดคบ จำจะบวกบอกใส่เสียให้จบ หล่อนจะได้ไม่คบพวกคนพาล

๏ หญิงพวกหนึ่งนั้นขันทำปั้นเจ๋อ ไม่เจียมจนเลยว่าตนต่ำสันดาน ล้วนคุณลุงคุณปู่อยู่ทุกแห่ง พวกผู้ดีไม่นึกตรึกเจรจา ช่างพูดได้ไม่อายแก่ปลายลิ้น ถึงพูดไปใครเขาจะเห็นจริง ถึงจะอวดอ้างไปที่ไหนนั่น ถ้าสันดานการผู้ดีคงมีรอย อันตัวต่ำแล้วอย่าทำให้เกินศักดิ์ เปรียบเหมือนเกลือเจือปนกับชลธี ที่บางคนจนยากไม่อยากทุกข์ อุตส่าห์แต่งแป้งขมิ้นไม่สิ้นคราว ทำไมแก่เงินทองของทั้งหลาย ถือว่ารูปกูงามไม่คร้ามจน สุภาษิตท่านประดิษฐ์ประดับไว้ ถึงเป็นองค์สุริย์วงศ์พระจักรี ทุกวันนี้มีทรัพย์เขานับหน้า ถึงงามพักตร์เขาจะรักเจ้าเพียงไร

เฝ้าเป้อเย้อหยิ่งเกินกับภูมิฐาน เห็นที่ท่านเป็นขุนนางอ้างเข้ามา เที่ยวแอบแฝงพิงพาดวาสนา เป็นพี่น้องร่วมฟ้านั้นเห็นจริง เป็นคนสิ้นความคิดผิดผู้หญิง เขาว่าหยิ่งยกยศเหมือนมดตะนอย เขารู้ทันอยู่ว่าเช่นเจ้าเป็นหอย ไม่กล่าวถ้อยเขาก็รู้ว่าผู้ดี เขาจะมักเหม็นปากเหมือนซากผี มันก็มีแต่จะจืดไม่ยืดยาว ถือว่าสุขอยู่แก่ตาข้าเป็นสาว ไม่สร้อยเศร้าสู้ตาประชาชน เห็นหาง่ายสารพัดไม่ขัดสน ลงแต่งตนขายกินจนสิ้นดี ว่าผู้ใดงามพักตร์สมศักดิ์ศรี แม้นไม่มีสินทรัพย์ก็ลับไป อย่าถือว่าตนงามตามวิสัย เขาคาดใจเสียว่าเจ้าขี้เกียจการ



ี่ ๏ ที่บางคนเห็นที่ท่านมีทรัพย์ ประกอบผูกลูกสะกดสร้อยสังวาลย์ เจ้าคนจนมันให้ร่ำจะทำบ้าง แต่ตัวจนอ้นอั้นตันในคอ หาทองแท้แก้ไขมันไม่คล่อง แต่ล้วนเนื้อสิบน้ำทองคำทวาย แพงไม่เบาเขายังกล้าอุตส่าห์ซื้อ ถึงจนยากอยากบำรุงให้รุ่งเรือง ก็สาสมกับอารมณ์ไม่เจียมศักดิ์ ผู้ดีว่าแล้วขี้ข้าก็พลอยตาม เขาจึงว่าหน้าสดปรากฎอยู่ เมื่อน้ำตื้นขืนจะพายไปฝ่ายเดียว เหมือนหิ่งห้อยน้อยสีหรี่หรุบรู่ เห็นไม่ถึงดอกอย่าโกยไปโดยแรง ๏ ยังมีพวกหนึ่งนั้นขยันยิ่ง เที่ยวยักย้ายร่ายชมภิรมย์รส จะรักไหนก็ไม่รักสมัครมั่น ชู้ต่อชู้รู้เรื่องเคืองระคาง เพราะนารีมิได้ตรงจำนงหมาย เหมือนพวกนางโมราวิลาวัณย์ โอ้ใจนางอย่างนี้ก็มีมั่ง เพราะนิสัยใจขนิษฐ์เล่นปลิดโยน ต่างคนต่างก็เชือนออกเบือนเบื่อ อันผัวดีที่จะได้อย่าหมายเลย แต่งประดับผิวพรรณในสัณฐาน แลละลานล้วนสุวรรณอันลออ เอาเยี่ยงอย่างอยากได้น้ำลายสอ ลงเที่ยวผลอไพล่เผลเพทุบาย ต้องเอาทองเสาชิงช้าน่าใจหาย สายสร้อยสายหนึ่งก็ถึงสลึงเฟื้อง ผูกข้อมือแลงามอร่ามเหลือง จนทองเหลืองไม่ละจะกละงาม ทรลักษณ์เหลือตัวชั่วส่ำสาม ไม่มีความอายจิตสักนิดเดียว สมกับผู้ที่ไม่ตรึกนึกเฉลียว ไม่ถึงเลี้ยวก็จะล่มไปจมแปลง จะแข่งสู้สุริยาอันกล้าแข็ง เขาจะแสร้งสรวลว่าเป็นบ้ายศ เป็นผู้หญิงสองใจไม่กำหนด ใครมาจดโผจับรับตะกาง เล่นประชันเชิงลองทั้งสองข้าง ก็ขัดขวางหึงสาจะฆ่าฟัน ทำให้ชายเคืองแค้นแสนกระสัน ยื่นพระขรรค์ผัวให้กับไอ้โจร จนลือดังข่าวก้องดังกลองโขน จนมาโดนกันกระดากไม่อยากเชย ต้องเป็นเรือขึ้นคานอยู่เฉยเฉย ด้วยมากเชยหลายชู้เขารู้กล

๏ บ้างลอบเล่นเพลงยาวเมื่อคราวขัด ที่ไม่สู้รู้กลอนยังร้อนรน บ้างก็เล่นปริศนาเที่ยวหาของ ครั้นห่อเสร็จส่งให้กับชายชาญ ครั้นคิดคิดปริศนานั้นช้าเนิ่น ทำดื้อด้านหาญหักไม่รักงาม ชนิดนางอย่างนี้มีชุมนัก ต้องกินยาเข้าสุราพริกไทยปน รักสนุกครั้นได้ทุกข์แล้วถอยคิด เทพเจ้าท่านไม่เข้าด้วยคนร้าย ครั้นคิดล้างอย่างไรก็ไม่สูญ ทำอย่างไรมันก็ไม่มรณา ถ้ารู้ถึงพ่อแม่ต้องแก้ไข แล้วหาผัวตัวประจำเป็นสำเนา ที่ชายโหดโฉดเขลาเข้าไปรับ ดังแผ่นดินสิ้นหญ้าสุธาแพลง ไม่คิดอายขายหน้านิจจาเอ๋ย ลูกของเขาเอาเป็นสิทธิ์เฝ้าชิดเชื้อ เหมือนเช่นเราเขาจะให้ก็ไม่รัก ถึงรูปร่างอย่างยุพินกินรี เป็นขนิษฐ์ชอบแต่คิดให้เป็นหนึ่ง เอ่ยว่ารักแล้วให้ได้ร่วมเรียง ท่านเปรียบมาเหมือนหนึ่งตราราชสีห์ เป็นอนงค์แล้วก็คงจะเป็นเมีย ที่เกิดมาเป็นนารีไม่มีค่า เหมือนกรวดทรายปรายเล่นไม่เว้นวาง เมื่อไม่ถือตราภูมิไว้คุ้มห้าม แม้นรู้จักรักษาถือตราไว้ อย่าจับปลาสองหัตถ์จะพลัดพลาด จึงนับว่าคนดีไม่มีมัว เป็นผู้หญิงสิ่งใดจะล้ำเลิศ ถึงรูปทรงนงคราญจะพาลคลาย
๏ บ้างมีผัวตัวอยู่เป็นคู่ชื่น ทำรักซ้อนซ่อนสนิทปิดเนื้อความ ครั้นรู้ความถามไถ่ก็ไม่รับ พลอยประจบหลบความไปตามเพลง ทำองอาจพลาดพลั้งลงทั้งคู่ ไม่แปรดแปร้นแสนสลดเหมือนทศกัณฐ์ เคยที่นอนหมอนหนุนละมุนนิ่ม เล็นก็กัดหมัดก็กินจนสิ้นนวล ครั้นเห็นชู้คู่ชมภิรมย์รื่น จะพึ่งชู้ชู้ก็เพียบกรอบเกรียบใจ ตระลาการท่านถามเอาความชั่ว เขาเฮฮาหน้าสลดต้องอดทน ครั้นซักไซ้ไต่ถามได้ความชัด ถ้ารักชู้ก็ให้อยู่กับชู้ชาย ก็สาสมกับอารมณ์สตรีชั่ว ไปคบชู้ชู้ชักหักทั้งยืน ที่ใครเห็นจะเมตตานั้นหายาก ก็เพราะเหตุตัวชั่วลือขจร ครั้นลำบากยากจิตสิได้คิด ใช่ไม่รู้เขาห้ามความถ้อยมี เออก็ใจเป็นไฉนนะน้องเอ๋ย ช่างไม่คร้ามความชั่วติดตัวตน มันเสียแล้วถึงจะฝืนไม่คืนศักดิ์ อันความชั่วติดตัวกว่าจะตาย ถึงบินออกนอกตำบลให้พ้นเขต ห้ามมันยากปากมนุษย์นี้สุดยาว ผู้ใดคิดผิดพลั้งเหมือนอย่างว่า ควรยับยั้งชั่งใจเสียให้ดี แม้นชั่วช้าใครว่าแล้วโกรธเขา จะวิบัติบาปกรรมซ้ำหนักไป แม้คนดีมีปัญญาถ้าไม่โกรธ ให้พ้นทุกข์สุขีเป็นศรีเมือง

ฝีปากจัดตอบต่อข้อนุสนธิ์ เที่ยววานคนแต่งให้พอได้การ ให้ถูกต้องตามอารมณ์ประสมประสาน บอกอาการเรื่องรักประจักษ์ความ ชวนกันเดินหลีกออกนอกสนาม จนเลยลามลืมบ้านสถานตน เป็นโรครักเกิดมารศีรษะขน หมายประจญจะให้ดับที่อับอาย จะปกปิดเปลวไฟไม่เห็นหาย คงก่อกายขึ้นให้เห็นไว้เป็นตรา ก็อาดูรพูนเกิดสหัสสา เป็นเวราบาปนั้นไม่บรรเทา เอาลูกไปมุ่งหมกยกให้เขา พอปัดเป่าความอายให้หายแคลง มันช่างหลับตาสนิทไม่คิดแหนง มาแอบแฝงเอามันเป็นว่านเครือ เหมือนไม่เคยพบปะจะกละเหลือ นึกว่าเนื้อบุญธรรมกรรมไม่มี มันขายพักตร์สารพัดจะบัดสี แต่เช่นนี้แล้วไม่ปองประคองเคียง ไม่ควรถึงอย่าให้ถึงกับปากเสียง เป็นคู่เคียงของตัวว่าผัวเมีย ไม่พอที่เสียนวลไม่ควรเสีย ย่อมมีเบี้ยปรับไหมวิสัยนาง จะเกิดมาทำไมให้หมองหมาง จะเอาอย่างนางโมราหรือว่าไป คนจึงลามเลยลวนมากวนได้ จะคุ้มภัยให้พ้นมีคนกลัว จับให้คงลงให้ขาดว่าเป็นผัว ถ้าชายชั่วร้างไปมิใช่ชาย สุดประเสริฐก็แต่ใจไม่เสื่อมสลาย ก็จะกลายส่งสวยด้วยใจงาม
ยังหาอื่นเข้าประคองเป็นสองสาม จนเลยลามเป็นระฆังดังขึ้นเอง เขาเฆี่ยนขับตีด่าว่าข่มเหง เพราะผัวเองจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน เขาจับได้ชายชู้ดูน่าขัน ต้องโศกศัลย์เศร้าใจอยู่ในตรวน ไปนอนทิมกรากกรำเฝ้ากำสรวล แลแต่ล้วนลูกความออกหลามไป ก็ไม่ชื่นชมชิดพิศมัย จะพึ่งผัวตัวก็ไม่เมตตาตน ข้างตัวกลัวก็บอกออกนุสนธิ์ แทบจะด้นดำดินให้สิ้นอาย จึงจำกัดศักดินาราคาขาย มันเบื่อหน่ายขายกลับเอาทรัพย์คืน อยู่กับผัวร่วมใจว่าไม่ชื่น ต้องกล้ำกลืนชลนัยน์อาลัยวอน มีแต่ปากแช่งอนงค์ส่งสลอน ที่เคยนอนนั่งสบายว่าไม่ดี แต่มันผิดเสียถนัดต้องบัดสี ชั่วหรือดีได้ยินสิ้นทุกคน มันจึงเลยไหลฉ่ำดังน้ำฝน ทำซุกซนจนได้ยากลำบากกาย จะลงรักทองปิดไม่มิดหาย เปรียบเหมือนกายกามีราคีคาว คงบอกเหตุรู้ว่าใช่กาขาว ไม่แกล้งกล่าวค่อนว่าแก่นารี ถูกตำราแล้วอย่าโกรธพิโรธพี่ ถ้าหลีกลี้เลิกเล่นไม่เป็นไร เช่นตัวเราผู้แต่งแถลงไข ถึงตกใต้เทวทัตเพราะขัดเคือง เห็นประโยชน์ตัดชั่วในตัวเปลื้อง อย่าแค้นเคืองคำข้าขออภัย

๏ เป็นสตรีมิใช่ชายเสียดายศักดิ์ อันความดีมีอยู่ดูจำไว้ จะมีคู่ก็ให้รู้ปรนนิบัติ อย่าคิดร้ายย้ายแยกทำแปลกปลอม อย่าคบชู้สู่สมนิยมหวัง เขารักหลอกหยอกเล่นดอกเช่นนี้ ธุระอะไรจะให้มันเสียของ เพราะเชื่อใจภรรยายิ่งกว่าเกลอ จะมีจิตพิศวาสไม่คลาดเคลื่อน แม้นนอกจิตคิดร้ายหมายประจญ จงกันภัยในเล่ห์เสน่หา เอาความสัตย์ตัดตั้งปฏิญาณ จงซื่อต่อภัสดาสวามี อย่าให้มีราคินที่กินใจ ถึงที่สุดทดลองก็ทองแท้ หญิงเดี๋ยวนี้แม้นมีสัตยา
๏ แม้นเขารักแล้วอย่าดื้อทำถือจิต คำนับนอบสามีทุกวี่วัน ยามสิ้นแสงสุริยาอย่าไปไหน ระวังดูปูปัดสลัดที่นอน ถ้าแม้นว่าภัสดาเข้าไสยาสน์ เขาเหนื่อยเหน็บเจ็บปวดในทรวงทรง ประพฤติกายสายสมรจะนอนหลับ นอนให้ดีมีสติสิริเรา จงรีบฟื้นตื่นก่อนภัสดา จึงหุงข้าวต้มแกงแต่งสำรับ ทั้งกระโถนคนทีขัดสีไว้ อีกน้ำท่าอย่าให้ผงลงไปกวน แม้นรู้ว่าสามีจะไปไหน ประจงปลุกภัสดาอย่าช้านาน จงระวังนั่งดูอยู่ใกล้ใกล้ อย่าให้ต้องร้องตะโกนโพนทะนา อยู่จนผัวรับประทานอาหารแล้ว อย่ากินก่อนภัสดาดูน่าชัง

จะปลูกรักเรรวนหาควรไม่ อย่าพอใจรักชั่วให้มัวมอม จงซื่อสัตย์สุจริตคิดถนอม มโนน้อมเสน่หาต่อสามี ไม่จีรังกาลดอกบอกโฉมศรี ถ้าแม้นมีข้าวของต้องบำเรอ อันเงินทองผัวสิทำสน่ำเสนอ ควรบำเรอลูกผัวของตัวตน เพราะแม่เรือนร่วมใจจึงได้ผล จะพาตนยากยับอัประมาณ อย่าให้มาปนปะจงประหาร ถึงเกิดการยากเข็ญไม่เป็นไร จนชีวีศรีสวัสดิ์เจ้าตัดษัย อุปไมยเหมือนอนงค์องค์สีดา ด้วยนางแน่อยู่ในสัจอธิษฐาน์ ภัสดาก็ยิ่งรักขึ้นหนักครัน
เร่งเกรงผิดกลัวใจใหญ่มหันต์ อย่าดุดันดื้อดึงตะบึงบอน จุดไต้ไฟเข้าไปส่องในห้องก่อน ทั้งฟูกหมอนอย่าให้มีธุลีลง จงกราบบาททุกครั้งอย่าพลั้งหลง ช่วยบรรจงนวดฟั้นให้บรรเทา อย่ากลิ้งกลับมือไม้ไปป่ายเขา อย่าซมเซาอยู่จนแจ้งแสงพยับ น้ำล้างหน้าหาไว้ให้เสร็จสรรพ จัดประดับเทียมทำให้น้ำนวล ให้ผ่องใสสวยตาดูน่าบ้วน จงใคร่ครวญพิเคราะห์ให้เหมาะการ แต่ยังไม่ตื่นพรากจากสถาน ให้ลุกขึ้นรับประทานโภชนา เผื่ออะไรมันขาดจะเรียกหา จงอุตส่าห์ตั้งใจระไวระวัง นางน้องแก้วเจ้าจงกินเมื่อภายหลัง เขาจะรังเกียจใจดูไม่ดี


สำนวน สุภาษิต คำพังเพย


สำนวน สุภาษิต คำพังเพย

สุภาษิต หมายถึง ถ้อยคำที่สั่งสอนหรือห้ามโดยตรง มีคำเปรียบเทียบบ้างไม่มีบ้าง เช่น คบคนให้ดูหน้า ซื้อผ้าให้ดูเนื้อ, อย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนเมา, น้ำเชี่ยว อย่าขวางเรือ
คำพังเพย หมายถึง ถ้อยคำที่แสดงความจริง ไม่ได้สอนโดยตรง อาจจะเป็นคำพังเพยแท้ก็ได้ เป็นสำนวนก็ได้ เป็นคำขวัญก็ได้ คำพังเพยแท้เช่น มีเงินเขานับว่าน้อง มีทองเขานับว่าพี่, ยากเงิน จนทอง พี่น้องไม่มี, มีเงินทอง พูดจาได้ มีไม้ไร่ ปลูกเรือนงาม, รู้แล้วพูดไปสองไพเบี้ย รู้แล้วนิ่งเสียตำลึงทอง
สำนวน มักเป็นคำเปรียบเทียบ คือให้นำความเป็นไปของสิ่งนั้นๆ มาเปรียบเทียบกับความประพฤติของคน เช่นคำว่า ขิงก็รา ข่าก็แรง, ปลาร้าเค็ม มะเขือขื่น, ตัวเท่าเสา เงาท่ากระท่อม, น้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตาย
คำขวัญ มักเป็นคำปลอบขวัญหรือปลุกใจให้มุ่งมั่น เช่นคำว่า กรุงศรีอยุธยายังไม่สิ้นคนดี (หมายถึงเมืองไทยยังไม่สิ้นคนดี) ชาติเสือต้องไว้ลาย ชาติชายต้องไว้ชื่อ, ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม
คำพังเพยที่มีผู้นำมาแต่งเป็นสำนวนกลอนไว้ เป็นต้นว่า
  • กินอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้อง
  • เรือล่มเมื่อจอด ตาบอดเมื่อแก่
  • นอนหลับไม่รู้ นอนคู้ไม่เห็น
  • หน้าชื่นอกตรม ลับลมคมใน
  • ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด
  • มะพร้าวตื่นดก ยาจกตื่นมี
  • ใจดีสู้เสือ ใกล้เกลือกินด่าง
  • ไม่ฟังอย่าสอน ไม่วอนอย่าบอก
  • คนนอนอย่าบอก คนปอกอย่าเชื่อ
  • สู้จนยิบตา ชอบมาพากล
  • จุดไต้ตำตอ ขุดบ่อล่อปลา
  • กิ้งก่าได้ทอง กันดีกว่าแก้
  • จูบลูกถูกแม่ มิตรจิตมิตรใจ
  • ห่างลอดตัวเล็น ตีตนก่อนไข้
  • ใครดีใครได้ ต้นร้ายปลายดี
  • ตาบอดได้แว่น หัวล้านได้หวี
  • จับนั่นจับนี่ เข้าพระเข้านาง
  • อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน
  • กินน้ำใต้ศอก ต้นข้าวคอยฝน
  • หว่านพืชหวังผล ผิดหูผิดตา
  • หน้าเนื้อใจเสือ ไปตายดาบหน้า
  • เข้าเถื่อนลืมพร้า น้ำน้อยแพ้ไฟ
ส่วนสำนวนซึ่งมักพูดเป็นลีลาก็มีคำกลอนอยู่มาก เป็นต้นว่า
  • ตกไร้ได้ยาก อดอยากปากแห้ง
  • เคราะห์หามยามร้าย หวดซ้ายป่ายขวา
  • ตัวสั่นงันงก ตีอกชกหัว เจ้าถ้อยร้อยความ
  • ถ้วยชามรามไห เก็บหอมรอมริบ
  • กำเริบเสิบสาน หอมหวนทวนลม
  • ชื่นชมสมหมาย หิวโหยโรยแรง
  • ฟักแฟงแตงกวา ภูเขาเลากา
  • มืดหน้าตามัว ก่อร่างสร้างตัว
  • ตกลงปลงใจ ป่าดงพงไพร อาศัยไหว้วาน
  • เอื้อเฟื้อเจือจาน เจ้าขุนมูลนาย
  • มืดหน้าตาลาย เหลือบ่ากว่าแรง
“คำพังเพย” ทองสืบ ศุภะมาร์ค
ภาษิต หรือ สุภาษิตมีอยู่ทั่วไปในทุกชาติทุกภาษา และมักรู้กันแพร่หลาย มักเขียนเป็นร้อยกรอง เล่นสัมผัสสระ สัมผัสพยัญชนะ เพิ่มความไพเราะและกำหนดจดจำง่ายยิ่งขึ้น เช่น
  • กว่าถั่วจะสุก งาก็ไหม้ (ทำอะไรไม่ทันท่วงที)
  • กินบนเรือนแล้วขี้รดหลังคม (เนรคุณ)
  • กินปูนร้อนท้อง (ทำผิดแล้วมักออกตัว แสดงพิรุธ)
  • เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน (ทำงานได้เงินเล็กๆ น้อยๆ ก็เอา)
  • ขายผ้า เอาหน้ารอด (ยอมเสียทุกอย่างเพื่อรักษาชื่อเสียง)
  • ขิงก็รา ข่าก็แรง (ต่างคนต่างแรง ไม่ยอมกัน เรื่องเล็กก็เลยกลายเป็นเรื่องใหญ่ไป เพราะทิฐิมานะ)
  • ขี่ช้างจับตั๊กแตน (ทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ได้ผลไม่คุ้มกับที่ต้องเสียไป)
  • เข้าตามตรอก ออกตามประตู (ทำอะไรให้ถูกต้องตามขนบธรรมเนียมประเพณี)
  • เข้าเถื่อนอย่าลืมพร้า ได้หน้าอย่าลืมหลัง (อย่าประมาทต้องเตรียมให้พร้อม และให้มีสติกำหนดจดจำให้ดี)
  • เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่งตาตาม (ประพฤติให้ถูกต้องตามกาลเทศะ เมื่อไปอยู่ในพวกเขาแล้ว ก็ต้องประพฤติคล้อยตามเขา)
  • เขียนเสือให้วัวกลัว (ขู่ให้กลัว)
  • คนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ (คนดีไปที่ไหนก็มีคนอยากคบหาสมาคมด้วย ไม่ลำบาก)
  • คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย สามคนกลับมาได้ (ความชัดแล้ว)
  • คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ (คนที่รักเรามีน้อยคล้ายผืนหนัง คนชังมีมาก อย่างกับเสื่อลำแพน)
  • คบคนให้ดูหน้า ซื้อผาให้ดูเนื้อ (ความชัดแล้ว)
  • คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล (ความชัดแล้ว)
  • คบคนดีมีศรีแก่ตัว คบคนชั่วอัปราชัย (อัปราชัย ในที่นี้มีความหายเท่ากับ ปราชัย คือจะพ่ายแพ้ หมายถึงไม่เป็นมงคลแก่ตัว)
  • ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด (แม้จะมีความรู้สูงแค่ไหนก็ตาม ถ้าความประพฤติไม่ดีแล้วก็เอาตัวไม่รอด เพราะไม่มีใครคบหาสมาคมด้วย หรือมีความรู้ แต่ไม่ใช้ความรู้ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร)
  • ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก (ปัญหาเรื่องนี้ยังแก้ไขไม่ตกเลย ก็มีปัญหาใหม่แทรกเข้ามาอีกแล้ว)
  • คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก (ที่อยู่อาศัย แม้จะคับแคบเพียงใด ถ้ารู้จักทำให้ดี ก็น่าอยู่ แต่ถ้าหากมีความคับอกคับใจแล้ว แม้ที่จะกว้างขวางใหญ่โต ก็มิได้ทำให้สบายอกสบายใจเลย มีแต่จะรู้สึกอึดอัดใจแต่ถ่ายเดียว)
  • คืบก็ทะเล ศอกก็ทะเล (อย่าประมาททะเล แค่คืบแค่ศอกก็ทะเล ตกไปก็มีหวังจมน้ำตายทั้งนั้น)
  • ฆ่าความก็ต้องไม่เสียดายพริก (ถ้าคิดจะทำงานใหญ่ทั้งที ก็ต้องไม่กลัวหมดเปลือง)
  • ฆ่าช้างจะเอางา คนเจรจาจะเอาถ้อยคำ (ที่เขาฆ่าช้างก็เพราะเขาหวังจะเอางาซึ่งมีราคาแพง เมื่อคนเราเจรจากัน ถ้อยคำหรือคำพูดถือเป็นเรื่องสำคัญมาก ควรจะเป็นคำพูดที่มีความจริงใจ เชื่อถือได้)
  • วัวเป็นแก่หญ้า ขี้ข้าเห็นแก่นอน (หมายถึงคนที่เห็นแก่ได้ เห็นแก่กิน และเกียจคร้าน)
  • งูเห็นนมไก่ ไก่เห็นตีนงู (ต่างคนต่างรู้ทันกัน รู้เล่ห์เหลี่ยมและกำพืดของกันและกันว่ามีเบื้องหลังอย่างไร)
  • จำศีลเอาหน้า ภาวนาโกหก (แสร้งทำเป็นว่าถือศีลเคร่งครัด ชอบเจริญภาวนาเข้ากรรมฐาน ที่ลวงให้คนอื่นเข้าใจว่าตนเป็นมีศีลมีธรรม เขาจะได้เชื่อถือไว้วางใจ
  • ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน (ชีวิตคนเราเอาแน่นอนอะไรไม่ได้ เดี๋ยวรุ่งเรือง เดี๋ยวตกอับ ดังนั้นเมื่อถึงคราวตกอับ ก็อย่าเพิ่งท้อถอย หรือหมดอาลัยในชีวิต และเมื่อถึงคราวรุ่งเรือง มีอำนาจวาสนา ก็อย่าลืมตัว อย่าประมาท)
  • ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์ (ใครจะเป็นอะไรก็ช่าง ไม่ควรถือเอาเป็นธุระ)
  • ชาติเสือต้องไว้ลาย ชาติชายต้องไว้ชื่อ (ลูกผู้ชายที่ชื่อว่าตนมีความเก่งกล้าสามารถ จะต้องสำแดงวิชาความรู้และความสามารถให้ลือชาปรากฏแก่คนทั่วไป ดุจเสือ (ลายพาดกลอน) ก็ต้องมีลายฉะนั้น)
  • ช้าๆ ได้พร้าสองเล่มงาม ด่วนได้สามผลามมักพลิกแพลง (จะทำอะไรก็ทำอย่างมีสติ รอบคอบ แม้จะช้าไปบ้างก็ได้ผลดี แต่ถ้าทำอย่างรีบร้อน ไม่พินิจพิเคราะห์ให้ดีก่อน อาจผิดพลาดเสียหายได้ง่าย)
  • ช้างตายทั้งตัว เอาใบบัวปิด (ช้างเป็นสัตว์ใหญ่ ใบบัวมีขนาดเล็ก ถ้าเอาใบบัวใบเดียวไปปิดช้าง ย่อมปิดไม่มิด คนที่ทำความชั่วไว้มากมาย ถึงจะปิดอย่างไรๆ ก็ปิดไม่หมด คนย่อมรู้เข้าจนได้)
  • ช้างสาร งูเห่า ข้าเก่า เมียรัก อย่าได้ไว้วางใจ (ช้างสารและงูเห่า เป็นสัตว์เดรัจฉานไว้ใจไม่ได้ ข้าเก่าและเมียรัก เป็นบุคคลที่ใกล้ชิด ย่อมรู้เรื่องราวและความลับของเราหมด บุคคลประเภทนี้ ถ้ากลับกลายเป็นศัตรูแล้วจะเป็นศัตรูที่ร้ายที่สุด ดังนั้นจึงไม่ควรไว้วางใจจนเกินไป)
  • ใช้แมวไปขอปลาย่าง (แมวก็กินปลาย่างหมด เพราะตามปรกติแมวก็ชอบกินปลา)
  • ดูวัวให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่ ถ้าจะดูให้แน่ต้องดูถึงย่าถึงยาย (วัวที่มีลักษณะดีนั้นให้ดูที่หาง ถ้าปลายหางเป็นพู่เหมือนใบโพธิ์ ก็นับว่าเป็นวัวที่มีลักษณะดีมาก การที่จะเลือกผู้หญิงมาเป็นคู่ครอง ไม่ใช่ดูเพียงตัวผู้หญิงเท่านั้น ต้องดูไปจนถึงแม่ด้วยว่าเป็นคนดีหรือไม่ เพราะลูกกับแม่ก็มักจะมีลักษณะนิสัยคล้ายคลึงกัน และถ้าจะดูให้แน่จริงๆ ต้องสืบประวัติไปจนถึงย่ายายของหญิงนั้นด้วย)
  • ดูช้างให้ดูหน้าหนาว ดูสาวให้ดูหน้าร้อน (หน้าหนาวช้างจะตกมัน ตอนนี้แหละเราจะเห็นลักษณะท่าทางของช้างว่ามีความห้าวหาญดุดันอย่างไร หน้าร้อนอากาศอ้าว ผู้หญิงก็ใช้ผ้าน้อยชิ้น หรือผ้าบางๆ ทำให้มองเห็นรูปร่างทรวดทรงและผิวพรรณของผู้หญิงว่าสวยงามแค่ไหนเพียงใด)
  • ตบมือข้างเดียวไม่ดัง (ทำอะไรฝ่ายเดียวไม่เกิดผล)
  • ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก (ต่อหน้าทำอย่างหนึ่ง ลับหลังทำอีกอย่างหนึ่ง แบบหน้าไหว้ หลังหลอก)
  • ตักน้ำใส่กะโหลก ชะโงกดูเงา (ให้รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวไว้บ้าง)
  • ตักบาตรไม่ต้องถามพระ (จะให้อะไรแก่ใคร เมื่อทราบว่าเขาเต็มใจรับอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องถามว่าจะเอาไหม)
  • ถ้าไม่ไฟ ที่ไหนจะมีควัน (เมื่อมีผลออกมา มันต้องมีเหตุแน่ๆ )
  • ถี่ลอดตาช้าง ห่างลอดตาเล็น (ทำอะไรดูเหมือนจะละเอียดถี่ถ้วนดี แต่ความจริงแล้วไม่รอบคอบ หรือบางทีก็ดูเหมือนจะใช้สอยอย่างกระเหม็ดกระแหม่ในบางเรื่องแต่อีกเรื่องหนึ่งกับสุรุ่ยสุร่าย)
  • นอนสูงให้นอนคว่ำ นอนต่ำให้นอนหงาย (เมื่อนอนในที่สูง ถ้านอนคว่ำ อะไรผ่านไปผ่านมาข้างล่างก็มองเห็นหมด และเมื่อนอนในที่ต่ำ ถ้านอนหงาย อะไรผ่านไปผ่านมาข้างบนก็มองเห็นหมด ถ้านอนต่ำแล้วนอนคว่ำหน้าจะจดพื้น มองไม่เห็นอะไร)
  • น้ำขึ้นให้รีบตัก (เมื่อเวลามีบุญมีวาสนา อย่างจะทำความดีอะไรก็รับทำๆ เสีย)
  • น้ำเชี่ยว อย่าขวางเรือ (เมื่อมีเหตุการณ์รุนแรงอะไรเกิดขึ้น ก็อย่าไปขัดขวาง จะได้รับอันตราย เพราะตอนนี้ตนอยู่ในระยะหน้าสิ่งหน้าขวาน คนเรามักไม่มีเหตุผลดุจนน้ำเชี่ยว ถ้าเอาเรือไปขวาง เรือก็จะล่ม)
  • น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า (ทุกคนต้องพึ่งพาอาศัยกัน ต้องเห็นอกเห็นใจกัน จึงควรผูกไมตรีกันไว้)
  • น้ำลง ตอผุด (ความชั่วเมื่อทำไว้ในเวลาที่ตนมีอำนาจนั้น อาจไม่มีใครทราบ แต่เมื่อหมดบุญ หมดอำนาจ บรรดาความชั่วที่ปิดบังกันไว้นั้น ก็จะปรากฏออกมา)
  • น้ำลึกหยั่งได้ น้ำใจหยั่งยาก (น้ำลึกเป็นเรื่องรูปธรรม เราหาวัตถุมาวัดได้ แต่น้ำใจเป็นเรื่องนามธรรม ไม่มีเครื่องวัด)
  • นายว่า ขี้ข้าพลอย (ลักษณะของคนเลว ไร้ความรู้ ถ้าเจ้านายว่าอย่างไร ก็มักจะพลอยประสมโรงซ้ำเติมด้วย)
  • เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่รองนั่ง เอากระดูกมาแขวนคอ (ทั้งๆ ที่ตนไม่มีส่วนได้เป็นผลประโยชน์กับเขาเลย แต่ก็พลอยเข้าไปพัวพันในเรื่องร้าย ทำให้ต้องพลอยรับบาปรับเคราะห์เสียหายไปกับเขาด้วย)
  • บุญมา ปัญญาช่วย ที่ป่วยก็หาย ที่หน่ายก็รัก (ในเวลาที่มีบุญวาสนา สติปัญญาก็ปลอดโปร่ง กำลังใจดี แม้จะเจ็บไข้ได้ป่วย ก็จะหายวันหายคืน เพราะเขาหวังว่าจะได้รับประโยชน์จากผู้มีวาสนานั้น และจะมีภาษิตต่อท้ายอีกว่า “บุญไม่มา ปัญญาไม่ช่วย ที่ป่วยก็หนัก ที่รักก็หน่าย” ซึ่งมีนัยตรงข้ามกัน)
  • ปล่อยเสือเข้าป่า ปล่อยปลาลงน้ำ (ปล่อยศัตรูสำคัญหรือโจรผู้ร้าย ที่ตกอยู่ในอำนาจให้พ้นไปนั้น จะทำให้เขากลับมีกำลังและอาจกลับเข้ามาก่อความเดือดร้อนได้อีก)
  • ปลาข้องเดียวกัน ตัวหนึ่งเน่า ก็พาตัวอื่นพลอยเหม็นไปด้วย (คนที่อยู่ร่วมกัน ถ้าคนหนึ่งไปทำชั่ว ทำไม่ดีไว้ ก็จะพลอยทำให้คนอื่นเสียหายไปด้วย)
  • ปลาหมอตายเพราะปาก (คนที่ชอบพูดอะไรพล่อยๆ มักจะได้รับอันตรายเพราะปากที่พูดพล่อยๆ นั้น)
  • ปากคนยาวกว่าปากกา (ตามปรกติปากของอีกายาวกว่าปากคน แต่ปากคนนั้นพูดเล่าลือต่อปากกันไปได้ไกล ผิดกับกาแม้ปากจะยาว แต่ก็ต่อปากต่อคำอย่างคนไม่ได้)
  • ปากเป็นเอก เลขเป็นโท หนังสือเป็นตรี ชั่วดีเป็นตรา (สมัยก่อนการศึกษาเล่าเรียนเขียนอ่านยังไม่แพร่หลาย คนที่รู้หนังสือมีน้อย บางคนก็ได้ดีเพราะปาก การคิดเลขหรือการคำนวณนั้นมีความสำคัญน้อยลงมาอีก แม้เดี๋ยวนี้คนที่มีความรู้ดีแต่พูดไม่เก่ง ก็เอาดีได้ยาก ส่วนความชั่วความดีนี้ ทำลงไปแล้วย่อมเป็นเสมือนตราที่ประทับลงไปให้รู้ว่าคนนั้นเป็นคนดี หรือคนชั่ว)
  • ปลูกเรือนต้องตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ต้องตามใจผู้นอน (จะทำอะไรก็ต้องตามใจผู้ที่จะได้รับผล เหมือนปลูกเรือนต้องปลูกตามที่ผู้อยู่ต้องการ ไม่ใช่ตามที่ช่างต้องการ เพราะช่างหรือสถาปนิกไม่ใช้ผู้อาศัย ผูกอู่ก็คือผูกเปล ก็ต้องให้ถูกใจผู้นอน)
  • พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง (ถ้าพูดไป ไม่มีประโยชน์ละก็นิ่งเสียดีกว่า สองไพเบี้ย =
    ( สตางค์ 1 ตำลึง = 4 บาท)
  • มีเงินเขานับว่าเป็นน้อง มีทองเขานับว่าเป็นพี่ (เมื่อมั่งมีเงินมีทองแล้ว ใครๆ ก็ประจบอยากเข้ามาเป็นญาติพี่น้องด้วย)
  • มีเงินมีทองเจรจาได้ มีไม้มีไร่ปลูกเรือนงาม (ถ้ามีเงินมีทองแล้วจะพูดอะไรก็มักจะสำเร็จ ถ้ามีไม้มีที่แล้ว ก็ย่อมปลูกเรือนได้สวยงาม)
  • ไม่มีมูลฝอยหมาไม่ขี้ (ถ้าไม่มีอะไรเป็นเค้ามูลอยู่ ก็ย่อมไม่มีเรื่องเกิดขึ้น)
  • ไม่เห็นน้ำ อย่าเพิ่งตัดกระบอก ไม่เห็นกระรอก อย่าเพิ่งโก่งหน้าไม้ (อย่าด่วนทำอะไรล่วงหน้า โดยที่ยังไม่ทราบว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในภายหน้า จะเหนื่อยเปล่า)
  • ไม้ล้มข้ามได้ คนล้มอย่าเพิ่งข้าม (ไม้ล้มข้ามไปไม่มีอันตรายอะไร แต่คนที่เคยมีอำนาจวาสนา แล้วหมดอำนาจ อย่าไปซ้ำเติมเขา เพราะเขาอาจกลับมามีอำนาจอีกได้)
  • ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก (จะอบรมสั่งสอนอะไรก็ทำเสียตั้งแต่เด็ก เพราะอบรมสั่งสอนง่าย จะสอนให้เป็นอะไรก็ได้ ส่วนคนแก่นั้นสอนยาก เหมือนไม้แก่ถ้าดัดก็หัก ผิดกับไม้อ่อนซึ่งดัดง่ายไม่หัก)
  • ไม้ลำเดียวยังต่างปล้อง พี่กับน้องยังต่างใจ (คือคนเรา นานาจิตตัง มีความเห็นไม่เหมือนกัน เหมือนไม้ไผ่ลำเดียวกัน ก็มีหลายปล้อง แต่ละปล่องก็ยาวไม่เท่ากัน พี่น้องแม้ท้องเดียวกัน แต่ความคิดเห็นก็ไม่จำเป็นจะต้องเหมือนกัน)
  • รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี (วัวถ้าไม่ผูกไว้ ก็อาจหายได้ ถ้าลูกดื้อ พ่อแม่ก็ต้องดุต้องตีบ้าง แต่การที่พ่อแม่ตีไม่ใช่ตีด้วยความเกลียดชัง เพราะพ่อแม่ที่ตีนั้นก็ไม่อยากตี บางทีตีแล้วแอบไปร้องไห้ สงสารลูกก็มี แต่ถ้าไม่ตีเสียบ้าง ต่อไปถ้าลูกกลายเป็นคนชั่วช้าเลวทราม พ่อแม่จะต้องเสียน้ำตามากกว่านั้น)
  • รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ (ถ้ารักจะมีชีวิตยืดยาวอย่างสงบสุข ก็ต้องตัดความเห็นแก่ตัว การอาฆาตจองเวรลง แต่ถ้าอยากจะมีชีวิตสั้นก็ต้องผูกอาฆาตจองเวรกันต่อไป อย่างนี้อาจตายเร็ว)
  • รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม (การศึกษาหาความรู้ไว้ ยิ่งมากยิ่งดี เพราะการมีความรู้มาก ไม่เหมือนการแบกข้าวแบกของ ซึ่งจะรู้สึกว่าหนักบ่า มีความรู้มิได้หนักบ่าหนักแรงอะไร ความรู้ที่เวลานี้เราคิดว่าไม่มีประโยชน์ วันหน้าอาจเห็นคุณค่าของมันก็ได้)
  • รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง (เมื่อรู้ว่าจะมีภัยอันตรายอะไรก็รู้จักหลบหลีก หรือเมื่อรู้ว่าการกระทำนั้นเป็นความชั่ว ก็ควรหลักหนีให้พ้น)
  • เรือล่มในหนอง ทองจะไปไหน (เมื่อจะต้องสูญเสียอะไรไปอย่างไม่มีทางที่จะสูญเปล่า ก็ไม่ต้องวิตกทุกข์ร้อนอะไร)
  • เรือล่มเมื่อจอด ตาบอดเมื่อแก่ (ทำอะไรต่ออะไรดีมาตลอด แต่พอเสร็จกลับไม่ได้ผลอะไร หรือมาล้มเหลงเมื่อปลายมือ)
  • ลงเรือแป๊ะ ต้องตามใจแป๊ะ (เมื่ออะไรๆ ต้องอาศัยเขา ก็ต้องตามใจเขา ถ้าไปขัดใจเขา เขาอาจไม่ช่วยเราหรือไล่เราออกก็ได้)
  • ลมไม่พัด ใบไม้ไม่ไหว (ไม่มีอะไรเป็นเค้ามูลมาก่อนแล้ว ก็คงไม่มีเรื่องมีราวเกิดขึ้นเป็นแน่)
  • เล่นกับหมา หมาเลียปาก เล่นกับสาก สากต่อยหัว (ถ้าลดตัวไปเล่นหัวกับคนชั้นต่ำกว่า เขาก็อาจตีเสมอทำลวนลามเอา สากในที่นี้หมายถึงสากตำข้าวที่เขาพิงไว้ ถ้าใครซุกซนไปจับต้องเข้า สากอาจเลื่อนล้มทับถูกหัวถูกหูก็ได้)
  • เลี้ยงช้าง กินขี้ช้าง (หาเศษหาเลยหรือมีผลประโยชน์พลอยได้จากหน้าที่ที่ตนทำเปรียบเหมือนคนเลี้ยงช้าง ซึ่งช้างก็มีค่าหญ้าอันเป็นส่วนของช้าง คนเลี้ยงช้างอาจเบียดบังเอาส่วนหนึ่งของค่าหญ้าเป็นผลประโยชน์ของตัว)
  • เลือกนักมักได้แร่ (เลือกไปเลือกมา ในที่สุดมักจะไปได้ที่ไม่ดี มักใช้ในกรณีเลือกคู่ เลือกไปเลือกมาในที่สุดไปได้คนที่ไม่ดีมาเป็นคู่ครอง แร่ในที่นี้หมายถึงขี้แร่ หรือแร่เลวๆ ที่ไม่มีค่าอะไรกัน)
  • โลภมาก ลาภหาย (โลภมากเกินไป ในที่สุดจะไม่ได้อะไรเลย ท่าสอนให้รู้จักมีความพอประมาณไว้บ้าง)
  • วัวใครก็เข้าคอกคนนั้น (ส่วนของใครก็เป็นของคนนั้น ไม่ก้าวก่ายหรือก้ำเกินในผลประโยชน์ของกันและกัน)
  • วัวสันหลังขาด เห็นกาบินผาดก็ตกใจ (คนที่มีความผิดติดตัว มักจะมีพิรุธ มีอาการหวาดระแวงอยู่เสมอ กลัวคนอื่นจะรู้ เหมือนวัวสันหลังหวะเป็นแผล พอเห็นกาบินมาก็หวาดกลัว เกรงว่ากาจะโฉบลงมาจิกที่แผลนั้น บางทีก็พูดว่า “วัวสันหลังหวะ”)
  • วัวหายแล้วจึงล้อมคอก (เมื่อเกิดเสียหายขึ้นมาแล้วจึงหาทางป้องกันในภายหลัง ซึ่งนับว่าไม่ทันการณ์ ควรจะล้อมคอกเสียก่อนที่วัวจะหาย)
  • ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง (พูดว่าคนอื่นอย่างไร ตนเองก็กลับเป็นอย่างนั้นเสียเองเหมือนอิเหนาที่ปรารภว่าไม่รักไม่ต้องการบุษบา แต่ตัวเองกลับลักพาบุษบาไป)
  • สอนเด็ก สอนง่าย สอนผู้ใหญ่ สอนยาก (ความหมายอย่างเดียวกับ “ไม้อ่อนดัดง่าย ไม่แก่ดัดยาก)
  • สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง (คนเราแม้จะมีความรู้สูงอย่างนักปราชญ์ ก็อาจผิดพลาดได้เหมือนกัน ทุกคนจึงไม่ควรประมาท แม้สัตว์สี่เท้าเช่น วัวควายซึ่งมีสี่เท้าก็ยังอาจก้าวพลาดถึงล้มลงได้ ภาษิตนี้บางทีก็มีพูดต่อไปอีกว่า “สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง สองตีนโด่เด่ คงจะเซลงบ้าง”)

คำที่มักเขียนผิดในภาษาไทย

คำที่เขียนถูก    มักเขียนผิดเป็น    หมายเหตุ

กงเกวียนกำเกวียน    กงกำกงเกวียน    กง และ กำ เป็นส่วนประกอบของล้อเกวียน

กงสุล    กงศุล    - "กรมศุลกากร" เรียกสั้น ๆ เป็น "กรมศุล" บางทีออกเสียงเพี้ยน เป็น "กงศุล"
                 - ส่วน "กงสุล" นั้นมาจากคำในภาษาฝรั่งเศสว่า "consul"

กฎ    กฏ    กฎ ทุกอย่าง ใช้ ฎ ชฎา ยกเว้น ปรากฏ ใช้ ฏ ปฏัก ส่วน กรกฎ/กรกฏ สะกดได้ทั้งสองแบบ

กบฏ    กบฎ, กบถ    ถ้าออกเสียง "ขะ-บด" เขียน "ขบถ"

กบาล, กระบาล    กะบาล    

กระเพาะ    กะเพาะ, กะเพราะ, กระเพราะ    

กริยา    กิริยา    "กริยา" (กฺริ-) คือ คำชนิดหนึ่ง บอกอาการ การกระทำ เช่น เดิน วิ่ง เขียน เหล่านี้ คือ คำกริยา

กรีฑา    กรีธา, กรีทา    กีฬาประเภทหนึ่ง

กรีธา    กรีฑา    เคลื่อน ยก เดินเป็นหมู่หรือเป็นกระบวน เช่น กรีธาทัพ

กเฬวราก    กเลวราก    

กอปร    กอป, กอปร์    อ่านว่า "กอบ"

กะเทย    กระเทย    

กะพริบ    กระพริบ    

กะเพรา    กะเพา, กระเพา, กระเพรา    

กะลาสี    กลาสี    

กะโหลก    กระโหลก    จำไว้ว่า กะโหลก กะลา

กังวาน    กังวาล    

กาลเทศะ    กาละเทศะ    

กาลเวลา    กาฬเวลา    กาล หมายถึง เวลา , กาฬ แปลว่า รอยดำ หรือ แดง

กำเหน็จ    กำเหน็ด    

กิตติมศักดิ์    กิติมศักดิ์, เกียรติมศักดิ์    

กินรี    กินนรี    แต่ "กิน-นอน" เขียน 'กินนร'

กิริยา    กริยา    "กิริยา" คือ อาการ การกระทำ เช่น ปฏิกิริยา

กุฎี, กุฏิ    กุฎ, กุฎิ    "กุฏิ" อ่านว่า "กุด" หรือ "กุด-ติ" , ถ้าต้องการอ่าน "กุ-ดี" ต้องเขียน "กุฎี" (ใช้คำไหนก็ได้)

เกม    เกมส์    ในภาษาไทยสำหรับกรณีทั่วไปจะไม่มีการเปลี่ยนรูปแบบคำใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าสื่อความหมายถึงเอกพจน์หรือพหูพจน์

                                เว้นแต่เป็นการทับศัพท์วิสามานยนาม เช่น "SEA Games" ว่า ซีเกมส์

เกสร 
   เกษร    ส่วนในของดอกไม้

เกียรติ    เกียรติ์    อ่านว่า "เกียด", ถ้าเขียน "เกียรติ์" อ่านว่า "เกียน" เช่น รามเกียรติ์

แกร็น    แกน, แกรน    ไม่เจริญเติบโตตามปรกติ (ใช้แก่คน สัตว์ และพืช), เช่น แคระแกร็น